รอยสักในประเทศไทยมีประวัติยาวนานและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยตั้งแต่โบราณกาล โดยเริ่มต้นจากการสักที่มีความเชื่อมโยงกับความเชื่อทางศาสนา ความเชื่อเรื่องพลังปกป้อง และศิลปะการป้องกันตัว ในอดีต การสักยันต์ เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในหมู่ทหาร นักรบ และชาวบ้านที่มีความเชื่อว่า **ยันต์** ซึ่งสักไว้บนร่างกายจะช่วยปกป้องจากภัยอันตราย การสักยันต์นี้มักจะเป็นรูปแบบของตัวอักษรโบราณ (อักษรขอม) พร้อมด้วยสัญลักษณ์หรือภาพสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เช่น เสือหรือพญาครุฑ ซึ่งเชื่อว่ามีพลังในการคุ้มครองเจ้าของยันต์ ในอดีต พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเป็นผู้สักยันต์ให้กับลูกศิษย์ โดยเชื่อว่ายันต์ที่สักจะมาพร้อมกับการปลุกเสกและคาถาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพลังและประสิทธิภาพให้กับยันต์นั้น ๆ เช่นยันต์ 5 แถวที่มีชื่อเสียงของหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ซึ่งได้รับความนิยมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ การสักยันต์ได้รับการยอมรับว่าเป็นทั้งการสร้างศรัทธาและความมั่นใจในตนเอง ในยุคต่อมา รอยสักเริ่มเปลี่ยนแปลงบทบาท จากการเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและศาสนา มาเป็นศิลปะบนร่างกายและแฟชั่นในยุคปัจจุบัน รอยสักไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ยันต์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป แต่เริ่มมีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนให้เป็นศิลปะในแบบสากล ไม่ว่าจะเป็นลวดลายของสัตว์ ธรรมชาติ หรือลายกราฟิกที่ออกแบบได้ตามความชอบของแต่ละบุคคล ปัจจุบัน รอยสักกลายเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร รอยสักในยุคนี้ไม่เพียงแต่แสดงออกถึงแฟชั่นและการแสดงตัวตน แต่ยังสะท้อนถึงการยอมรับในความหลากหลายของความเชื่อและวัฒนธรรม ศิลปินสักมืออาชีพได้กลายเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในแวดวงศิลปะทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ การเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของคนไทยต่อรอยสักเกิดขึ้นเนื่องจากการเปิดกว้างทางวัฒนธรรมและการเข้าถึงสื่อต่างชาติ รอยสักซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ไม่ดีหรือคนในกลุ่มสังคมบางกลุ่ม ปัจจุบันได้รับการยอมรับมากขึ้นในฐานะที่เป็นการแสดงออกถึงศิลปะส่วนบุคคล อุตสาหกรรมการสักในประเทศไทยยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีการจัดงานเทศกาลสักอย่างเช่น…
ความรู้สุขภาพดีใน 5 นาที
บางครั้งเราอาจคิดว่าการดูแลสุขภาพเป็นเรื่องใหญ่ ต้องใช้เวลามากหรือมีขั้นตอนซับซ้อน แต่ความจริงแล้ว แค่ปรับนิสัยเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน ก็ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้อย่างชัดเจน ผมจะเล่าให้ฟังในเวลาเพียงไม่กี่นาที 1. ดื่มน้ำให้เพียงพอร่างกายเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก การดื่มน้ำสะอาดวันละประมาณ 6–8 แก้ว จะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้ดี เลือดไหลเวียนสะดวก ผิวชุ่มชื้น และลดความเสี่ยงต่อปัญหาไต ใครที่ดื่มน้ำน้อย ลองพกขวดน้ำไว้ใกล้ตัว จะช่วยให้ดื่มได้สม่ำเสมอ 2. ขยับร่างกายทุกชั่วโมงแม้จะไม่ได้ออกกำลังกายเต็มรูปแบบ การลุกขึ้นยืดเส้น หรือเดินเล่นสั้น ๆ ทุกชั่วโมงก็ช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อ ลดอาการเมื่อยล้า และช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานดีขึ้น เหมาะมากสำหรับคนที่นั่งทำงานหน้าจอนาน ๆ 3. เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์พยายามเพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีนคุณภาพดีในทุกมื้อ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันทรานส์สูง การเลือกอาหารที่หลากหลายและมีคุณค่าทางโภชนาการจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน 4. นอนให้พอและคุณภาพดีการนอนหลับ 7–8 ชั่วโมงต่อคืนเป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการ เพื่อฟื้นฟูสมองและซ่อมแซมเซลล์ ควรเข้านอนและตื่นให้ตรงเวลาทุกวัน และหลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ก่อนนอน เพราะแสงจากหน้าจอจะรบกวนการนอน 5. จัดการความเครียดความเครียดสะสมอาจทำให้ร่างกายอ่อนแอและเจ็บป่วยง่าย ลองใช้เวลาสั้น ๆ ในแต่ละวันฝึกหายใจลึก ๆ ทำสมาธิ หรือทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย…

